การทำบัญชีและวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ Freight Forwarder

การทำบัญชีและวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ Freight Forwarder ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

 

 

การทำบัญชีและวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจ Freight Forwarder

ธุรกิจ Freight Forwarder หรือผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เป็นธุรกิจที่มีความซับซ้อนทางบัญชีและภาษีค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน มีการจัดการต้นทุนหลายสกุลเงิน และอยู่ภายใต้กฎระเบียบด้านภาษีที่แตกต่างกันตามประเภทการให้บริการ บทความนี้จะช่วยให้ท่านผู้ประกอบการเข้าใจหลักการสำคัญในการจัดการบัญชีและวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจธุรกิจ Freight Forwarder

Freight Forwarder คือผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานงานระหว่างผู้ส่งสินค้า (Shipper) กับผู้ให้บริการขนส่งจริง เช่น สายการบิน สายเรือ หรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์อื่นๆ รายได้หลักมาจากค่าบริการรับจัดการขนส่ง ค่าธรรมเนียมต่างๆ และค่าบำเหน็จจากการเป็นตัวแทน

ลักษณะธุรกิจที่แตกต่างจากธุรกิจทั่วไปคือ Freight Forwarder มักไม่ได้เป็นเจ้าของพาหนะขนส่งเอง แต่ทำหน้าที่จองพื้นที่ขนส่งจากผู้ให้บริการจริง แล้วนำมาจัดการและขายบริการต่อให้กับลูกค้า ซึ่งทำให้การบันทึกบัญชีและการคำนวณภาษีมีความซับซ้อน เพราะต้องแยกรายได้ที่เป็นค่าบริการจริงของธุรกิจ กับต้นทุนค่าระวางที่จ่ายให้ผู้ให้บริการขนส่ง

หลักการรับรู้รายได้และต้นทุน

การรับรู้รายได้

รายได้ของธุรกิจ Freight Forwarder แบ่งออกเป็นหลายประเภท:

  • รายได้ค่าบริการขนส่ง – เป็นค่าบริการหลักที่เรียกเก็บจากลูกค้าสำหรับการจัดการขนส่งสินค้า ทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งรวมถึงค่าระวาง ค่าธรรมเนียมต่างๆ และค่าบริการเสริม
  • รายได้ค่าบำเหน็จ (Commission) – รายได้ที่ได้รับจากการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าให้กับสายเรือ สายการบิน หรือ Network Partner ในต่างประเทศ
  • รายได้ส่วนแบ่งกำไร – กรณีที่มีการทำงานร่วมกับ Forwarder ต่างประเทศ อาจมีการแบ่งปันผลกำไรหรือขาดทุนตามข้อตกลง

หลักการสำคัญ: การรับรู้รายได้ควรทำเมื่อบริการได้ดำเนินการเสร็จสิ้นและมีหลักฐานการเรียกเก็บเงินที่ชัดเจน เช่น การออกใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงิน โดยต้องแยกรับรู้รายได้ที่เป็นค่าบริการจริงของธุรกิจออกจากส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายผ่าน (Pass-through costs) ที่จ่ายให้ผู้ให้บริการขนส่ง

การรับรู้ต้นทุน

ต้นทุนหลักของธุรกิจประกอบด้วย:

  • ค่าระวางที่จ่ายให้สายเรือ/สายการบิน – เป็นต้นทุนขายที่สำคัญที่สุด
  • ค่าบริการท่าเรือ/สนามบิน – เช่น ค่า Terminal Handling, Port Charge
  • ค่าธรรมเนียมศุลกากร – ค่าบริการผ่านพิธีการศุลกากร
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน – เงินเดือน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา

ต้นทุนเหล่านี้ควรบันทึกเมื่อเกิดขึ้นจริงและสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งต้องมีเอกสารประกอบที่ถูกต้องครบถ้วน เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือ Bill of Lading

ภาระภาษีที่ต้องรับผิดชอบ

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่มีความซับซ้อนสูงสำหรับธุรกิจ Freight Forwarder เพราะมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันตามลักษณะการให้บริการ:

ตารางสรุปอัตรา VAT ตามประเภทบริการ
ประเภทบริการ อัตรา VAT ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ค่าบริการ Freight Forwarder ในประเทศ 7% มาตรา 77/1(10), 77/2
ค่าขนส่งสินค้าขาออก (Export) 0% มาตรา 80/1(3)
ค่าขนส่งสินค้าขาเข้า (Import) ไม่ต้องเสีย มาตรา 77/2
ค่าบริการอื่นนอกราชอาณาจักร (เช่น Break bulk fee ในต่างประเทศ) ไม่ต้องเสีย มาตรา 77/2
ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนกับ Forwarder ต่างประเทศ ไม่ต้องเสีย กค 0706/พ./5768

สำคัญ! การแยกประเภทรายได้ให้ถูกต้องตามฐานภาษีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะส่งผลต่อการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระและสิทธิในการขอคืนภาษีซื้อ

2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)

การหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราและมีความแตกต่างตามประเภทของผู้รับเงินและลักษณะการให้บริการ:

ตารางสรุปอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
กรณี อัตราหัก ข้อกฎหมายอ้างอิง
จ่ายค่าระวางขาออกให้สายการบิน/เรือไทย 1% กค 0811/8244, พ.1/04/2544
จ่ายค่าระวางขาออกให้สายการบินต่างประเทศ (ไม่มี DTA) 1% กค 0811/8244
จ่ายค่าระวางขาออกให้สายการบินต่างประเทศ (มี DTA) 1.5% หรือไม่ต้องหัก (ขึ้นอยู่กับอนุสัญญาแต่ละประเทศ) กค 0811/8244
จ่ายค่าระวางขาเข้าให้สายการบิน/เรือไทย 1% กค 0811/10115
จ่ายค่าระวางขาเข้าให้สายการบินต่างประเทศ ไม่หัก มาตรา 67
จ่ายค่าบริการอื่น (Handling Charge) 3% พ.1/4/2528 ข้อ 12/1
ลูกค้าจ่ายค่าบริการให้ Forwarder 3% พ.1/4/2528 ข้อ 3/1(1)

กรณีลูกค้าจ่ายค่าบริการให้ Freight Forwarder: เมื่อ Freight Forwarder ให้บริการลูกค้า ลูกค้าต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของค่าบริการตามประกาศ ท.ป.4/2528 ข้อ 3/1(1) โดย Freight Forwarder จะได้รับเงินสุทธิหลังหักภาษีแล้ว และสามารถนำภาษีที่ถูกหักไปไว้นำไปหักกลบกับภาษีเงินได้นิติบุคคลได้

3. ภาษีเงินได้นิติบุคคล

การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจ Freight Forwarder มีหลักการดังนี้:

สูตรการคำนวณ:
กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี = รายได้รวม – ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่หักได้

รายได้ที่ต้องนำมาคำนวณรวมถึง รายได้ค่าบริการจากลูกค้า รายได้ค่าบำเหน็จ และส่วนแบ่งกำไรจาก Network Partner ส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สามารถหักได้ประกอบด้วย ค่าระวางที่จ่ายจริง ส่วนแบ่งขาดทุนที่จ่าย และค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆ ที่จำเป็นและสมเหตุสมผล

อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปัจจุบัน:

  • กำไรสุทธิ 0-300,000 บาทแรก เสียภาษี 15%
  • กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300,000 บาท เสียภาษี 20%

กลยุทธ์การวางแผนภาษี

1. การจัดการเอกสารและหลักฐาน

เอกสารที่สำคัญสำหรับธุรกิจ Freight Forwarder ประกอบด้วย:

ด้านรายรับ:

  • ใบแจ้งหนี้
  • ใบเสร็จรับเงิน
  • ใบกำกับภาษี
  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย
  • Master/House Bill of Lading

ด้านรายจ่าย:

  • ใบกำกับภาษีจากผู้ให้บริการขนส่ง
  • ใบเสร็จค่าบริการต่างๆ
  • เอกสารการจ่ายเงินให้ต่างประเทศ

การเก็บเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบภาษี และทำให้สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของการคำนวณภาษีได้

2. การแยกประเภทรายได้อย่างชัดเจน

การแยกรายได้ตามลักษณะการให้บริการจะช่วยให้สามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง:

  • แยกรายได้จากการให้บริการในประเทศกับต่างประเทศ
  • แยกรายได้จากการขนส่งขาเข้ากับขาออก
  • แยกรายได้ค่าบริการจริงกับค่าระวางที่เรียกเก็บแทนสายเรือ/สายการบิน
  • แยกรายได้ค่าบำเหน็จและส่วนแบ่งกำไรที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

3. การใช้ประโยชน์จากอนุสัญญาภาษีซ้อน (DTA)

กรณีที่มีการรับรายได้จากต่างประเทศหรือจ่ายค่าบริการให้กับต่างประเทศ ควรศึกษาอนุสัญญาภาษีซ้อนที่ประเทศไทยมีกับประเทศคู่สัญญา เพื่อลดอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซ้ำซ้อน

4. การบริหารกระแสเงินสดและภาษีซื้อ-ภาษีขาย

การวางแผนรับ-จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้มีภาษีซื้อหักกลบกับภาษีขายได้ในแต่ละเดือน ช่วยลดภาระเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ การขอเครดิตเทอมจากสายเรือ/สายการบิน และการจัดการเงื่อนไขการชำระเงินกับลูกค้าให้สมดุลกันจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน

5. การจัดโครงสร้างธุรกิจให้เหมาะสม

การวิเคราะห์ว่าควรดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล รวมถึงการพิจารณาจัดตั้งสำนักงานสาขาหรือบริษัทในเครือเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต

การรายงานและยื่นภาษี

Freight Forwarder ต้องยื่นรายงานภาษีตามกำหนดเวลา ได้แก่:

รายเดือน

  • แบบ ภ.พ.30 (รายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม) – ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
  • แบบ ภ.ง.ด.53 (รายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย) – ยื่นภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

รายครึ่งปี

  • แบบ ภ.ง.ด.51 (ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี)

รายปี

  • แบบ ภ.ง.ด.50 (ภาษีเงินได้นิติบุคคล) – ยื่นภายใน 150 วัน หลังสิ้นรอบบัญชี

การยื่นรายงานที่ถูกต้องและตรงเวลาจะช่วยหลีกเลี่ยงค่าปรับและเบี้ยปรับจากการยื่นล่าช้าหรือคำนวณผิดพลาด

บริการของเรา

ที่ปรึกษาเฉพาะคุณ

"ข้อมูลบัญชีบอกผลการดำเนินงาน”

เราวิเคราะห์ตัวเลขที่เกิดขึ้น ให้คุณมีข้อมูลตัดสินใจในอนาคต ในทุกเรื่องของธุรกิจ ให้ธุรกิจเติบโต

HOW WE'RE DIFFERENT

TAWAN CONSULTANT

ผู้จัดทำบัญชีและผู้ตวจสอบบัญชีมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการทำงานมามากกว่า 10 ปี

ทีมงานสำนักงานบัญชีกำลังให้คำปรึกษาลูกค้าเพื่อวางแผนภาษีอย่างถูกกฎหมาย
5+

ผู้เชี่ยวชาญ

51+

ลูกค้าของเรา

1+

บริษัทในเครือเรา

ABOUT US

เราคือโอกาสให้คุณมีเวลากลับไปทำในสิ่งที่ธุรกิจคุณถนัดที่สุด ตัดสินใจได้ดีขึ้น และเติบโตอย่างมั่นคง

เราเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่มุ่งมั่นให้บริการธุรกิจ SME ทั่วประเทศ เราดูแลด้านบัญชีเพื่อลดภาระการจัดการตัวเลขของคุณ ในขณะที่คุณสามารถโฟกัสกับการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ บริการของเรายืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับประเภทและขนาดธุรกิจของคุณ