การควบรวมบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใหม่และผลกระทบทางภาษี
การควบรวมกิจการเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุน หรือขยายธุรกิจ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน การควบรวมบริษัทได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ประกอบการไทย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 ได้มีการเพิ่มเติมรูปแบบการควบรวมบริษัทแบบใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา
บทความนี้จะอธิบายถึงการควบรวมบริษัทตามมาตรา 1238 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และผลกระทบทางภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจและวางแผนได้อย่างถูกต้อง
รูปแบบการควบรวมบริษัทตามกฎหมายใหม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แก้ไขใหม่ มาตรา 1238 ได้กำหนดรูปแบบการควบรวมบริษัทไว้ 2 รูปแบบ ดังนี้:
- การควบรวมแบบจัดตั้งบริษัทใหม่ (มาตรา 1238 (1)): เป็นการควบรวมบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปเข้าด้วยกัน โดยบริษัทที่มาควบรวมกันทั้งหมดจะหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่
- การควบรวมแบบบริษัทรับรวม (มาตรา 1238 (2)): เป็นรูปแบบใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา โดยบริษัทหนึ่งบริษัทใดยังคงมีสภาพเป็นนิติบุคคล และบริษัทอื่นที่ควบรวมกันหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคลภายหลังการควบรวม
รูปแบบที่ 2 นี้ เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการควบรวมได้คล่องตัวมากขึ้น ไม่ต้องสูญเสียสถานะทางกฎหมายของบริษัทที่ต้องการคงไว้ ทำให้รักษาสิทธิและความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
ผลกระทบทางภาษีของการควบรวมบริษัทตามมาตรา 1238 (2)
การควบรวมบริษัทตามมาตรา 1238 (2) ที่บริษัทหนึ่งยังคงมีสภาพเป็นนิติบุคคลและบริษัทอื่นที่ควบรวมกันหมดสภาพนั้น ในทางภาษีจะมีลักษณะเป็น “การโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน” ตามมาตรา 74 (1) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร โดยบริษัทที่หมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคลจะเป็นผู้โอนกิจการ และบริษัทที่ยังคงมีสภาพนิติบุคคลจะเป็นผู้รับโอนกิจการ
ภาระภาษีที่เกี่ยวข้องมีดังนี้:
1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
- บริษัทผู้โอนกิจการ: ต้องตีราคาทรัพย์สินตามราคาตลาดในวันที่จดทะเบียนเลิก แต่ไม่ต้องนำราคาทรัพย์สินที่ตีราคาตามราคาตลาดมาเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิ
- บริษัทผู้รับโอนกิจการ: ให้ถือราคาทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาตามราคาที่ปรากฏในบัญชีของบริษัทเดิมในวันที่รับโอนกิจการ และหากทรัพย์สินรายการใดมีสิทธิหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา ก็ให้หักค่าเสื่อมราคาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่บริษัทเดิมใช้อยู่ เพียงเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่สำหรับทรัพย์สินนั้น
ข้อสำคัญ: ห้ามมิให้นำผลขาดทุนสุทธิของบริษัทเดิมมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทที่รับโอน
ผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นนิติบุคคล: มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 5 สัตตรส แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 สำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนกิจการทั้งหมด โดยโอนหุ้นเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทผู้รับโอนกิจการ ทั้งนี้ ต้องดำเนินการในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการโอนกิจการทั้งหมด และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
สินค้าคงเหลือและ/หรือทรัพย์สินที่ผู้ประกอบการมีไว้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกประกอบกิจการ ไม่เข้าลักษณะเป็นการขายตามมาตรา 77/1 (8) (ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ บริษัทผู้รับโอนกิจการต้องอยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
การโอนกิจการทั้งหมดได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ เฉพาะการโอนอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการโอนกิจการทั้งหมด ตามมาตรา 5 โสฬส แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
4. อากรแสตมป์
ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ตามมาตรา 6 (31) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
เงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
การควบรวมบริษัทตามมาตรา 1238 (2) จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ อย่างครบถ้วน ดังนี้:
- บริษัทผู้โอนกิจการต้องจดทะเบียนเลิกและมีการชำระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนกิจการ
- การโอนหุ้นเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทผู้รับโอนกิจการต้องทำในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการโอนกิจการทั้งหมด
- ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัดเพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ข้อควรระวังและการวางแผนภาษี
- การวางแผนระยะเวลาการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชี: บริษัทผู้โอนกิจการต้องจดทะเบียนเลิกและมีการชำระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับที่มีการโอนกิจการทั้งหมด จึงควรวางแผนในเรื่องระยะเวลาให้เหมาะสม
- การตีราคาทรัพย์สิน: ควรพิจารณาการตีราคาทรัพย์สินตามราคาตลาดอย่างรอบคอบ เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดในการคำนวณภาษี
- การพิจารณาผลขาดทุนสะสม: เนื่องจากผลขาดทุนสุทธิของบริษัทเดิมไม่สามารถนำมาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทผู้รับโอนได้ จึงควรพิจารณาถึงผลกระทบทางภาษีในประเด็นนี้
- การปฏิบัติตามเงื่อนไข: ควรตรวจสอบและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในประกาศอธิบดีกรมสรรพากรอย่างครบถ้วน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างถูกต้อง
บทสรุป
การควบรวมบริษัทตามมาตรา 1238 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นทางเลือกใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างองค์กรธุรกิจ โดยยังคงสภาพนิติบุคคลของบริษัทหนึ่งไว้ ซึ่งในทางภาษีจะมีลักษณะเป็นการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
ผู้ประกอบการที่กำลังพิจารณาการควบรวมบริษัทควรศึกษาและวางแผนภาษีอย่างรอบคอบ รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและได้รับประโยชน์สูงสุดทางภาษี
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมายหรือภาษี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของท่าน
แหล่งอ้างอิง:
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
- ประมวลรัษฎากร
- พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
- ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากัน หรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด หรือบริษัทจำกัดเพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555
- เลขที่หนังสือ กค 0702/1112 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เรื่อง การควบรวมบริษัทตามมาตรา 1238 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์