แนวทางภาษีสำหรับรถกระบะ Double Cab
หลายธุรกิจมักเลือกใช้รถกระบะสี่ประตู (Double Cab) เป็นพาหนะในการดำเนินกิจการ เนื่องจากสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งขนส่งสินค้าและรับส่งพนักงาน แต่หลายท่านอาจยังสงสัยเกี่ยวกับประเด็นด้านภาษีที่เกี่ยวข้อง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการคำนวณภาษีสำหรับรถกระบะ Double Cab กันค่ะ
ประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทราบ
1. การคิดค่าเสื่อมราคา
ข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการ! รถกระบะ Double Cab ไม่ถูกจำกัดวงเงินค่าเสื่อมราคาที่ 1 ล้านบาท เหมือนรถยนต์นั่งทั่วไป หมายความว่า คุณสามารถนำต้นทุนทั้งหมดของรถมาคิดค่าเสื่อมราคาได้เต็มจำนวน
ตัวอย่าง:
- • บริษัท A ซื้อรถกระบะ Double Cab ราคา 1,200,000 บาท
- • สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้เต็มจำนวน 1,200,000 บาท
- • ต่างจากรถยนต์นั่งที่จะคิดค่าเสื่อมราคาได้เพียง 1,000,000 บาท
2. กรณีเช่าซื้อหรือเช่าแบบลีสซิ่ง
สำหรับการเช่า ไม่มีการจำกัดวงเงินค่าเช่าที่ 36,000 บาทต่อเดือน หรือ 1,200 บาทต่อวัน คุณสามารถนำค่าเช่าทั้งหมดมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีได้
ตัวอย่าง:
- • บริษัท B เช่ารถกระบะ Double Cab ในราคา 45,000 บาทต่อเดือน
- • สามารถนำค่าเช่า 45,000 บาท มาเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวน
- • ต่างจากรถยนต์นั่งที่จะนำมาเป็นรายจ่ายได้เพียง 36,000 บาทต่อเดือน
3. ประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีซื้อจากการซื้อหรือเช่ารถกระบะ Double Cab สามารถนำมาเครดิตในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทั้งจำนวน
ตัวอย่าง:
- • บริษัท C ซื้อรถกระบะ Double Cab ราคา 1,200,000 บาท + VAT 7% (84,000 บาท)
- • สามารถนำภาษีซื้อ 84,000 บาท มาเครดิตได้ทั้งจำนวน
ข้อควรระวัง!
การจดทะเบียนและการดัดแปลง
หากมีการจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (รย.1) หรือมีการดัดแปลงต่อเติมหลังคา อาจส่งผลต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้น ควรพิจารณาให้ดีก่อนดำเนินการใดๆ
เงื่อนไขสำคัญ
- 1. ต้องเป็นรถที่ซื้อหรือเช่าตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นไป
- 2. ต้องเข้าเงื่อนไขตามประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์และคุณลักษณะของรถยนต์กระบะสี่ประตู
- 3. ต้องใช้ในกิจการจริง และมีหลักฐานสนับสนุนการใช้งานที่ชัดเจน
สรุป
การเลือกใช้รถกระบะ Double Cab ในกิจการสามารถให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มากกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป ทั้งในแง่ของการคิดค่าเสื่อมราคา ค่าเช่า และภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ ให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ