มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนใน Startup ไทย
ในยุคที่ธุรกิจ Startup กำลังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต รัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีพิเศษเพื่อส่งเสริมการลงทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาตรการนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายหุ้น Startup ไทย ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
ใครที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้
การลงทุนโดยตรงใน Startup ไทย
มาตรการนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนหลากหลายกลุ่มได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่:
- บุคคลธรรมดา – นักลงทุนรายย่อยทั่วไปที่สนใจลงทุนใน Startup
- นิติบุคคลไทย – บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย
- นิติบุคคลต่างประเทศ – บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายของประเทศอื่น
การลงทุนผ่าน Venture Capital (VC)
สำหรับการลงทุนแบบไม่โดยตรง มาตรการนี้ยังครอบคลุมการลงทุนผ่าน Venture Capital โดยมีรายละเอียดดังนี้:
VC ไทย:
- Corporate Venture Capital (CVC) และ Private Equity Trust (PE Trust)
- ทั้ง VC และผู้ลงทุนใน VC ไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์
VC ต่างประเทศ:
- เฉพาะ VC เท่านั้นที่ได้รับสิทธิ
- ผู้ลงทุนใน VC ต่างประเทศจะไม่ได้รับสิทธิ เนื่องจากอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในประเทศของตนแล้ว
คุณสมบัติของ Startup ไทยที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิ
- ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย
Startup ต้องดำเนินธุรกิจใน 14 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐกำหนด และใช้เทคโนโลยีหลักหรือนวัตกรรมเป็นฐานในกระบวนการผลิตหรือให้บริการ - ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
Startup ต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งต่อไปนี้:- สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
- สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
- สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
- สัดส่วนรายได้จากอุตสาหกรรมเป้าหมาย
Startup ต้องมีรายได้จากการประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 80% ของรายได้รวมในช่วง 2 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกันก่อนการขายหุ้น - การรายงานข้อมูล
Startup ต้องแจ้งข้อมูลผู้ถือหุ้นและสัดส่วนรายได้ผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากรภายใน 150 วันหลังสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี พร้อมส่งรายงานให้ผู้ถือหุ้นด้วย
14 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve)
อุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง 14 สาขาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก:
กลุ่มที่ 1: S-Curve เดิม (5 อุตสาหกรรม)
• ระบบขับขี่อัตโนมัติ
• ชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ
• IoT devices และ Smart Home
• เซมิคอนดักเตอร์และชิปขั้นสูง
• Luxury Tourism และ Eco-Tourism
• การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการศึกษา
• เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับการเกษตร
• การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์
• เทคโนโลยีการแปรรูปอาหารขั้นสูง
• บรรจุภัณฑ์อาหารอัจฉริยะ
กลุ่มที่ 2: New S-Curve (5 อุตสาหกรรม)
• หุ่นยนต์บริการและหุ่นยนต์การแพทย์
• ระบบอัตโนมัติในการผลิต
• ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ
• โดรนและยานพาหนะไร้คนขับ
• พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน
• เคมีภัณฑ์ชีวภาพ
• Telemedicine และ HealthTech
• เทคโนโลยี AI สำหรับการวินิจฉัยโรค
• E-commerce และ Digital Platform
• Big Data, AI และ Machine Learning
กลุ่มที่ 3: BCG Economy (4 อุตสาหกรรม)
• ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
• อาหารจากพืช (Plant-based Food)
• Waste-to-Energy
• การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้ซ้ำ
• ระบบจัดการมลพิษ
• เทคโนโลยีเพื่อการลดคาร์บอน
• Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR)
• Quantum Computing และ Advanced Materials
รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี
มาตรการนี้ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับ:
1. กำไรจากการขายหุ้น Startup ไทย
กำไรที่ได้รับจากการขายหุ้นของ Startup ไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา บริษัท หรือ VC
2. กำไรจากการขายหุ้นหรือหน่วยทรัสต์ของ VC ไทย
กำไรจากการขายหุ้นของ VC ไทย และกำไรจากการที่ VC ไทยเลิกกิจการ
ข้อสำคัญ: ผู้ขายไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
เงื่อนไขการถือหุ้น
กฎ 24 เดือน
ผู้ลงทุนต้องถือหุ้นใน Startup ไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 24 เดือน นับจากวันที่ได้หุ้นมาจนถึงก่อนการขายหุ้น เงื่อนไขนี้เป็นข้อกำหนดสำคัญที่ผู้ลงทุนต้องปฏิบัติตาม
การได้รับการรับรอง
Startup ไทยสามารถได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องได้รับการรับรองก่อนการขายหุ้น และต้องมีรายได้จากอุตสาหกรรมเป้าหมายตามสัดส่วนที่กำหนดไม่น้อยกว่า 2 รอบระยะเวลาบัญชีติดต่อกัน
การรายงานและเอกสารหลักฐาน
หน้าที่ของ Startup
- ยื่นแบบรายงานแสดงสัดส่วนรายได้ผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร
- ส่งรายงานให้ผู้ถือหุ้นภายใน 150 วันหลังสิ้นสุดรอบบัญชี
หน้าที่ของ VC ไทย
- ยื่นแบบรายงานการลงทุนและสัดส่วนการลงทุน
- ส่งรายงานให้ผู้ลงทุนภายใน 150 วันหลังสิ้นสุดรอบบัญชี
หน้าที่ของนักลงทุน
- ตรวจสอบเงื่อนไขรายได้ของ Startup จากแบบรายงานที่ได้รับ
- ตรวจสอบระยะเวลาการถือหุ้นให้ครบ 24 เดือน
- เก็บเอกสารหลักฐานไว้เป็นหลักฐานการได้รับสิทธิ
ระยะเวลาการให้สิทธิ
มาตรการนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2575 รวมระยะเวลา 10 ปี ซึ่งให้โอกาสนักลงทุนและ Startup ในการวางแผนการลงทุนระยะยาว
บทสรุป
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนใน Startup ไทยเป็นนโยบายที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบนิเวศการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลัก มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระภาษีให้กับนักลงทุน แต่ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในธุรกิจที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต
สำหรับนักลงทุนที่สนใจ ควรศึกษารายละเอียดอย่างละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้อย่างถูกต้องและครบถ้วน