การวางแผนภาษีสิ้นปี 2568 สำหรับ SME และบุคคลธรรมดา

การวางแผนภาษีสิ้นปี 2568 สำหรับ SME - แสดงอัตราภาษีแบบขั้นบันได 0% 15% และ 20% ตามระดับกำไรสุทธิของบริษัท


การวางแผนภาษีสิ้นปี 2568 สำหรับ SME และบุคคลธรรมดา

ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการ “วางแผนภาษี” ไม่ใช่เพียงแค่การเตรียมยื่นเอกสาร แต่คือการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าท่านจะไม่เสียภาษีเกินความจำเป็นและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่นำไปสู่การถูกปรับ

ส่วนที่ 1: การวางแผนภาษีสำหรับ SME (นิติบุคคล)

สำหรับผู้ประกอบการ SME (ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท) การวางแผนภาษีสิ้นปีมีเป้าหมายหลักคือ การบริหารจัดการรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ในการได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่านิติบุคคลทั่วไป

1. การบริหารจัดการรายได้และกำไรสุทธิ

หัวใจของ SME คืออัตราภาษีแบบขั้นบันได:

  • กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก: ได้รับการยกเว้นภาษี (0%)
  • กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 300,000 บาท ถึง 3,000,000 บาท: เสียภาษีในอัตรา 15%
  • กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 3,000,000 บาทขึ้นไป: เสียภาษีในอัตรา 20%

เทคนิคสิ้นปี: หากธุรกิจคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะสูงกว่า 3 ล้านบาทอย่างฉิวเฉียด การเร่งค่าใช้จ่ายที่จำเป็นหรือชะลอการรับรายได้บางส่วนไปในปี 2569 อาจช่วยลดภาระภาษีส่วนเกินที่ต้องเสียในอัตรา 20% ได้

2. การใช้สิทธิลดหย่อนพิเศษตามมาตรการภาครัฐ

ตรวจสอบมาตรการที่รัฐออกมาเพื่อส่งเสริม SME ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้ (ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากกรมสรรพากร):

  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา (R&D): อาจได้รับสิทธิหักรายจ่ายได้ 2-3 เท่า
  • ค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมพนักงาน: การส่งพนักงานไปฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐ อาจสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า
  • การบริจาคเพื่อการศึกษา/กีฬา/สถานพยาบาลของรัฐ: สามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า (ภายใต้เงื่อนไขและไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิ)

3. การจัดการหนี้สูญและสินค้าคงเหลืออย่างมีกลยุทธ์

นี่คือการปรับปรุงตัวเลขครั้งใหญ่ที่สุดในงบการเงินสิ้นปี เพื่อเปลี่ยนรายการทางบัญชีให้เป็นรายจ่ายทางภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย

3.1 การตัดจำหน่ายหนี้สูญ (Tax Loss Harvesting)

การพิจารณาตัดหนี้สูญเป็นรายจ่ายทางภาษีจะช่วยลดกำไรสุทธิได้ แต่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตาม กฎกระทรวง ฉบับที่ 186 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามจำนวนหนี้

หลักการสำคัญ:

  • หนี้สูญทางภาษี จะต้องเกิดจากการประกอบกิจการ และเคยถูกรวมเป็นรายได้แล้วเท่านั้น
  • กิจการต้องมีหลักฐานการติดตามทวงถาม อย่างสมควรตามกรณี (เช่น หนังสือทวงถามที่ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน)
  • ต้องมี คำสั่งอนุมัติ ให้จำหน่ายหนี้สูญจากกรรมการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัท/ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี

เงื่อนไขตามมูลค่าหนี้:

  • หนี้ไม่เกิน 200,000 บาท: มีหลักฐานทวงถามแล้ว แต่ไม่ได้รับชำระหนี้
  • หนี้เกิน 200,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท: ต้องมีการดำเนินคดีทางศาล (คดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย) และศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องแล้ว
  • หนี้เกิน 2,000,000 บาท: ต้องมีหลักฐานการดำเนินการฟ้องและดำเนินการบังคับคดีแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินจะชำระหนี้ได้ หรือเป็นบุคคลล้มละลาย/เสียชีวิต
สิ่งที่ต้องทำ: หากมีลูกหนี้ค้างชำระที่เข้าข่ายไม่สามารถเรียกเก็บได้ ควรเร่งดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย (การทวงถาม/การฟ้อง) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568

3.2 การตีราคาสินค้าคงเหลือ (Inventory Write-Down)

ตามหลักการทางบัญชีและภาษี กิจการต้องตีราคาสินค้าคงเหลือ ณ วันสิ้นรอบบัญชีด้วย ราคาทุน หรือ ราคาตลาด แล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า (Lower of Cost or Market)

มูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Net Realizable Value: NRV): คือ ราคาโดยประมาณที่คาดว่าจะขายได้ตามปกติของธุรกิจ หักด้วยประมาณการต้นทุนในการขายและต้นทุนในการผลิตให้เสร็จ

โอกาสลดกำไร: หากสินค้าคงเหลือของท่านเกิดความเสียหาย ล้าสมัย หรือราคาตลาดลดลงอย่างมากจนทำให้ มูลค่าสุทธิที่จะได้รับต่ำกว่าราคาทุน ท่านสามารถปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าที่ต่ำกว่านี้ได้ ซึ่งผลต่างที่ลดลงจะถูกบันทึกเป็น ผลขาดทุนจากการตีราคาสินค้าคงเหลือ และนำมาหักเป็นรายจ่ายทางภาษีในปี 2568 ได้ทันที

สิ่งที่ต้องทำ: ให้ฝ่ายบัญชีและฝ่ายคลังสินค้าสำรวจสินค้าคงเหลืออย่างละเอียดเพื่อระบุสินค้าที่ต้องตั้งค่าเผื่อมูลค่าลดลง (เช่น สินค้าแฟชั่นตกรุ่น, สินค้าที่ใกล้หมดอายุ)

ส่วนที่ 2: การวางแผนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา

สำหรับบุคคลธรรมดา การวางแผนภาษีสิ้นปี 2568 เน้นที่การบริหารจัดการการซื้อสินค้า/บริการ การลงทุน และการออม เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เต็มวงเงินก่อนสิ้นปี 31 ธันวาคม

1. กลุ่มค่าลดหย่อนหลัก (พื้นฐาน)

รายการเหล่านี้จะถูกหักโดยอัตโนมัติหรือสามารถใช้สิทธิได้โดยง่าย แต่ควรตรวจสอบความถูกต้อง:

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ไม่มีเงินได้): 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร: 30,000 บาท/คน (และบุตรคนที่สองขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ได้ 60,000 บาท/คน)
  • เบี้ยประกันสังคม: ตามที่จ่ายจริง (สูงสุดประมาณ 9,000 บาท)

2. กลุ่มการออมและการลงทุน (มาตรการสำคัญที่สุดที่ต้องวางแผนก่อน 31 ธ.ค.)

ผู้มีเงินได้ควรตรวจสอบว่าได้ใช้สิทธิเต็มจำนวนแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะการลงทุนที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้:

รายการ วงเงินลดหย่อนสูงสุด (2568) ข้อควรระวัง
เบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพตนเอง รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท (ประกันสุขภาพไม่เกิน 25,000 บาท) ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา ไม่เกิน 15,000 บาท บิดา/มารดา ต้องมีเงินได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ต้องถือครองจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาไม่น้อยกว่า 5 ปี
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ (ไม่กำหนดขั้นต่ำ)
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ถือครองไม่น้อยกว่า 8 ปีเต็ม
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
รวมวงเงินสูงสุด (RMF, SSF, Thai ESG, PVD/กบข., ประกันบำนาญ) ไม่เกิน 500,000 บาท (ยกเว้น Thai ESG ที่ลดหย่อนได้เพิ่ม 300,000 บาท) วงเงินลงทุนรวมทั้งหมดมีเพดานกำกับ
การดำเนินการเร่งด่วน: ตรวจสอบยอดเงินลงทุน/เบี้ยประกันที่จ่ายไปแล้ว และเติมเงินส่วนที่เหลือให้เต็มวงเงินสูงสุด เพื่อใช้สิทธิให้คุ้มค่าที่สุด

3. กลุ่มเงินบริจาค (ต้องใช้ e-Donation เพื่อรับสิทธิสูงสุด)

  • บริจาคทั่วไป: หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  • บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา/กีฬา/สถานพยาบาลของรัฐ: หักได้ 2 เท่า ของจำนวนที่บริจาค (ภายใต้เงื่อนไข)
สิ่งที่ต้องทำ: ตรวจสอบว่าหน่วยงานที่บริจาคเข้าสู่ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรแล้วหรือไม่ เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิ 2 เท่า

4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ (เช่น Easy E-Receipt)

หากมีมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการภายในประเทศโดยใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ในช่วงปลายปี 2568 (เช่น Easy E-Receipt) โปรดตรวจสอบวันเริ่มต้น/สิ้นสุดโครงการและวงเงินลดหย่อนสูงสุด และเริ่มสะสมใบกำกับภาษีได้ทันที

สรุปและข้อเสนอแนะจากสำนักงานบัญชี

การวางแผนภาษีไม่ใช่การหลีกเลี่ยงภาษี แต่เป็นการบริหารจัดการเงินของท่านอย่างชาญฉลาดและถูกกฎหมาย การตัดสินใจทางการเงินในช่วงปลายปี (เช่น การซื้อทรัพย์สิน, การลงทุน RMF/SSF) จะส่งผลต่อภาระภาษีที่ท่านต้องแบกรับ

เราขอแนะนำให้ท่าน:

  1. ประเมินกำไร/รายได้ถึงปัจจุบัน: เพื่อทราบจำนวนภาษีโดยประมาณที่ต้องจ่าย
  2. ตรวจสอบสิทธิที่ยังไม่ได้ใช้: โดยเฉพาะสิทธิลดหย่อนการออมและการลงทุน
  3. รวบรวมเอกสาร: จัดเก็บใบเสร็จ, ใบกำกับภาษี, ใบรับรองการซื้อหน่วยลงทุน ให้เป็นระบบ เพื่อเตรียมพร้อมยื่นภาษีในต้นปี 2569

ติดต่อสำนักงานบัญชีเราเพื่อความแม่นยำสูงสุด

หากคุณต้องการความแม่นยำสูงสุด หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกในการวางโครงสร้างค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ SME โปรดติดต่อสำนักงานบัญชีเราพร้อมช่วยท่านวางแผนภาษีอย่างมืออาชีพ เพื่อความสบายใจ และเพื่อให้เงินของท่านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

บริการของเรา

ที่ปรึกษาเฉพาะคุณ

"ข้อมูลบัญชีบอกผลการดำเนินงาน”

เราวิเคราะห์ตัวเลขที่เกิดขึ้น ให้คุณมีข้อมูลตัดสินใจในอนาคต ในทุกเรื่องของธุรกิจ ให้ธุรกิจเติบโต

HOW WE'RE DIFFERENT

TAWAN CONSULTANT

ผู้จัดทำบัญชีและผู้ตวจสอบบัญชีมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการทำงานมามากกว่า 10 ปี

ทีมงานสำนักงานบัญชีกำลังให้คำปรึกษาลูกค้าเพื่อวางแผนภาษีอย่างถูกกฎหมาย
5+

ผู้เชี่ยวชาญ

51+

ลูกค้าของเรา

1+

บริษัทในเครือเรา

ABOUT US

เราคือโอกาสให้คุณมีเวลากลับไปทำในสิ่งที่ธุรกิจคุณถนัดที่สุด ตัดสินใจได้ดีขึ้น และเติบโตอย่างมั่นคง

เราเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่มุ่งมั่นให้บริการธุรกิจ SME ทั่วประเทศ เราดูแลด้านบัญชีเพื่อลดภาระการจัดการตัวเลขของคุณ ในขณะที่คุณสามารถโฟกัสกับการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ บริการของเรายืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับประเภทและขนาดธุรกิจของคุณ